×

ถอดบทเรียนจาก ‘โปแลนด์-เกาหลีใต้’ ก้าวขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงสำเร็จ แต่ทำไม ‘ไทย’ ยังติดกับรายได้ปานกลางอยู่

27.05.2025
  • LOADING...

ถอดบทเรียนจาก ‘โปแลนด์-เกาหลีใต้’ ประเทศที่ก้าวขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงสำเร็จ โดยโปแลนด์ครั้งหนึ่งเคยมีรายได้ประชาชาติต่อหัวที่ใกล้เคียงกับประเทศไทยในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 อย่างไรก็ตาม โปแลนด์กลับเลื่อนสถานะเป็นประเทศรายได้สูงได้ภายในได้เพียง 15 ปีเท่านั้น ขณะที่ไทยติดอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (ระดับบน) มาอย่างน้อย 14 ปีแล้ว นับตั้งแต่การอัปเกรดครั้งล่าสุด สำหรับเกาหลีใต้ แม้จะใช้เวลาถึง 21 ปี แต่สุดท้ายก็สามารถเลื่อนสถานะเป็นประเทศรายได้สูงได้สำเร็จ ร่วมถอดบทเรียนความสำเร็จจาก 2 ประเทศนี้ผ่าน 2 รายงานของธนาคารโลก

 

ตามข้อมูลจากรายงาน World Development Report 2024 ของธนาคารโลก (World Bank) ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา (ระหว่าง 1990-2024) มีประเทศรายได้ปานกลาง (Middle-Income Countries) เพียง 34 ประเทศเท่านั้น ที่ก้าวขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงได้ (High-Income Countries)

 

โดยตามการจัดอันดับของธนาคารโลก (Atlas Method) ปัจจุบันมี 83 ประเทศเป็นประเทศรายได้สูง (High-Income Countries) หรือประเทศที่มีรายได้ประชาชาติรวม (GNI) ต่อหัวเท่ากับ 13,846 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีหรือมากกว่า

 

ส่วนประเทศรายได้ปานกลางระดับบน (Upper Middle-Income Countries) ซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้ประชาชาติรวม (GNI) ต่อหัวระหว่าง 4,466-13,845 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี มีทั้งหมด 54 ประเทศ โดยประเทศไทยก็อยู่กลุ่มนี้ เนื่องจากมีรายได้ประชาชาติรวม (GNI) ต่อหัวเท่ากับ 7,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในปี 2023

 

ขณะที่ประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง (Lower Middle-Income Countries) ซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้ประชาชาติรวม (GNI) ต่อหัวระหว่าง 1,136-4,465 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี มีทั้งหมด 54 ประเทศ

 

สุดท้ายประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง (Low-Income Countries) ซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้ประชาชาติรวม (GNI) ต่อหัวเท่ากับ 1,135 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีหรือน้อยกว่า มีทั้งหมด 26 ประเทศ

 

ทั้งนี้ Atlas Method คือ วิธีที่ธนาคารโลกใช้คำนวณ รายได้ประชาชาติต่อหัว (GNI per capita) โดยเฉลี่ยอัตราแลกเปลี่ยนย้อนหลัง 3 ปี และปรับตามเงินเฟ้อ เพื่อให้ลดความผันผวนจากค่าเงิน ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้การเปรียบเทียบรายได้ระหว่างประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยธนาคารโลกใช้วิธีนี้เพื่อจัดกลุ่มรายได้ของประเทศเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

 

  1. รายได้น้อย
  2. รายได้ปานกลางระดับล่าง
  3. รายได้ปานกลางระดับบน
  4. รายได้สูง

 

 

3 ทศวรรษกับ 34 ประเทศ ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางสำเร็จ

 

แม้ปัจจุบันยังมีประเทศและดินแดนมากกว่า 100 แห่งยังคงติดกับรายได้ปานกลาง (Middle-Income Trap) อย่างไรก็ตามในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา ก็ยังมีประเทศถึง 34 แห่งที่สามารถก้าวข้ามกับดักนี้ได้สำเร็จ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ โปแลนด์และเกาหลีใต้

 

โดยโปแลนด์ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูงในปี 2000 หลังจากเลื่อนสถานะเป็นประเทศรายได้ปานกลางได้เพียง 15 ปี

 

ส่วนเกาหลีใต้ แม้ได้ติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางระดับล่างเป็นเวลานานถึง 62 ปี จนกระทั่งกลายเป็นเศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางระดับบนในปี 1974 ก็สามารถก้าวขึ้นประเทศรายได้สูงได้ในปี 1995 แม้จะใช้เวลาถึง 21 ปีก็ตาม

 

สำหรับประเทศไทย ธนาคารโลกได้ปรับสถานะของประเทศไทยจากประเทศรายได้ปานกลางระดับต่ำเป็นรายได้ปานกลางระดับสูง เมื่อปี 2011 โดย GNI ต่อหัวของไทยในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 4,210 ดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนว่าประเทศไทยติดอยู่ในกับดักนี้มาอย่างน้อย 14 ปีแล้ว นับตั้งแต่การอัปเกรดครั้งล่าสุด

 

(ทั้งนี้ ในปี 2011 ธนาคารโลกกำหนดว่า ประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง มี GNI ต่อหัวระหว่าง 3,976 ถึง 12,275 ดอลลาร์สหรัฐ)

 

โปแลนด์และไทย ครั้งหนึ่งเคยมีจุดเริ่มต้นใกล้กัน

 

ตามข้อมูลจากธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่า GNI ต่อหัวของไทยและโปแลนด์ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 มีความใกล้เคียงกันอย่างมาก โดยในปี 1992 (ปีที่ธนาคารโลกเริ่มแสดงข้อมูล GNI ต่อหัวของโปแลนด์) พบว่า GNI ต่อหัวของโปแลนด์อยู่ที่ 2,080 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ GNI ต่อหัวของไทยอยู่ที่ 1,930 ดอลลาร์สหรัฐ

 

อย่างไรก็ตาม ช่องว่างความแตกต่างของ GNI ต่อหัวระหว่างไทยและโปแลนด์เริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ หลังปี 1995 โดยช่องว่างดังกล่าวยังกว้างขึ้นๆ จนถึงทุกวันนี้

 

 

ถอดบทเรียนจากโปแลนด์: กระจายอำนาจไปยังรัฐบาลท้องถิ่นอย่างครอบคลุมเด็ดขาด

 

ในรายงานตามติดเศรษฐกิจไทย กรกฎาคม 2567 (Thailand Economic Monitor July 2024) : ปลดล็อกศักยภาพการเติบโตของเมืองรอง (Unlocking the Growth Potential of Secondary Cities) ได้กล่าวถึง ‘การกระจายอำนาจไปยังรัฐบาลท้องถิ่นของโปแลนด์’ ว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้โปแลนด์ก้าวขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงได้

 

ธนาคารโลกระบุว่า ในช่วงยุคคอมมิวนิสต์ของโปแลนด์ การปกครองของโปแลนด์มีการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางอย่างมาก รัฐบาลท้องถิ่นถูกมองข้าม เนื่องจากไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐสังคมนิยม ดังนั้นเมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลาย โปแลนด์ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดตั้ง ‘รัฐบาลท้องถิ่น’ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องรัฐบาลท้องถิ่น หากเผชิญกับแนวโน้มการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางอีกครั้ง นอกจากนี้ โปแลนด์ยังได้แก้ไขกฎหมายรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อมุ่งจัดสรรทรัพยากรและอำนาจปกครองตนเองเพิ่มเติมแก่รัฐบาลเมืองรองด้วย

 

เมื่อไม่นานมานี้ หนังสือพิมพ์ Financial Times ได้จัดอันดับเมืองที่น่าดึงดูดใจสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) พบว่า เมืองในโปแลนด์หลายเมืองเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก หลังจากได้รับอำนาจปกครองตนเอง และสามารถดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาของตนเอง

 

โดยวอร์ซอ (Warsaw) รั้งในอันดับที่ 4 ในกลุ่มเมืองหลักในยุโรป (Major European Cities) แซงหน้าปารีส มิวนิก มาดริด เบอร์ลิน สตอกโฮล์ม และบาร์เซโลนา 

 

ส่วนคราคูฟ (Krakow) อยู่ในอันดับที่ 4 ในกลุ่มเมืองใหญ่ในยุโรป (large cities in Europe) ส่วนเมืองอื่นๆ ในโปแลนด์อีกหลายแห่งก็อยู่ในอันดับสูงเช่นกัน

 

ความสำเร็จของเมืองเหล่านี้ในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเพิ่มอำนาจให้กับรัฐบาลท้องถิ่น ทำให้มีส่วนสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของโปแลนด์อย่างมาก

 

ต่างจากประเทศที่สนับสนุนการกระจายอำนาจโดยไม่ดำเนินการให้ครบถ้วน (fully implementing) โปแลนด์ได้ทำให้การปกครองตนเองเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการเงินของเทศบาล ทำให้โปแลนด์ได้ก้าวออกจากระบบการบริหารส่วนท้องถิ่นแบบรวมอำนาจ (heavily centralized) จากบนลงล่าง (top-down systems of local administration) ได้อย่างเด็ดขาด

 

โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ประสบความสำเร็จคือ ผู้สนับสนุน (Advocates) การกระจายอำนาจให้รัฐบาลท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง และต้องเตรียมพร้อม กล่าวคือ เป็นเวลากว่าทศวรรษก่อนที่ระบอบคอมมิวนิสต์ในโปแลนด์จะล่มสลาย ดังนั้นนักเคลื่อนไหวและนักวิชาการได้สนับสนุนและเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในการทำให้รัฐบาลท้องถิ่นที่เข้มแข็งเป็นจริง ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดขึ้นในฐานะส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ 

 

เมืองรองของไทยก็มีศักยภาพ แต่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

 

ในรายงานของธนาคารโลก ยังระบุว่า การพัฒนาเมืองของประเทศไทยที่ผ่านมาได้มุ่งเน้นไปที่กรุงเทพมหานคร ในการเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ โดยกรุงเทพฯ ในฐานะกลุ่มเมือง (urban agglomeration) มีประชากรมากกว่าจังหวัดที่ใหญ่รองลงมาอย่างเชียงใหม่ถึง 29 เท่า และมี GDP มากกว่าจังหวัดที่มี GDP ในลำดับรองลงมาอย่างชลบุรีถึงเกือบ 40 เท่า

 

ขณะที่เมืองหลักและเมืองรองของไทยหลายเมืองมีศักยภาพที่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ และเป็นกุญแจสำคัญในการนำประเทศกลับสู่เส้นทางการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

โดยกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับการมีโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายการคมนาคมที่ได้รับการพัฒนาก้าวหน้ากว่าเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ปัจจัยเหล่านี้ได้ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆ ภายในกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบ

 

แม้ว่าความเป็นเมืองหลักของกรุงเทพฯ จะขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม ความแออัดและความเปราะบางของเมืองในด้านต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาเขตเมืองอย่างสมดุล เหตุการณ์อุทกภัยปี 2554 ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางด้านเศรษฐกิจของไทยเนื่องจากการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมที่สำคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้โครงสร้างพื้นฐานของกรุงเทพฯ และเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีฐานเศรษฐกิจที่กระจายตัวมากขึ้น

 

เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ได้ส่งสัญญาณการชะลอตัว เนื่องจากการเติบโตของ GDP ของกรุงเทพฯ ใกล้เคียงกับการเติบโตของประชากร ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของเมืองได้เติบโตอย่างเต็มที่และถึงจุดอิ่มตัว เป็นเหตุให้ผลิตภาพอาจดีขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือไม่เปลี่ยนแปลง

 

เมืองหลักและเมืองรองมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย: เปิดข้อแนะนำจากธนาคารโลก

 

ปัจจุบัน เมืองหลักและเมืองรองจำนวนมากของไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและมีอุตสาหกรรมที่หลากหลายอยู่แล้ว โดยจากข้อมูลล่าสุด เมืองเหล่านี้มีการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวสูงกว่ากรุงเทพฯ เกือบ 15 เท่า  ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทุนมนุษย์ และการพัฒนาขีดความสามารถของสถาบันที่เหมาะสม จะทำให้เมืองหลักและเมืองรองเหล่านี้สามารถเพิ่มผลิตภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยได้  ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วของ GDP ต่อหัวนี้ แสดงให้เห็นถึงผลิตภาพ ประสิทธิภาพ และศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของเมืองเหล่านี้

 

เมืองหลักและเมืองรองมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาภูมิภาค โดยทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการปกครองท้องถิ่นและภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนและเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจภูมิภาคกับกรุงเทพฯ หรือเป็นระเบียงการค้าทางเศรษฐกิจที่สำคัญ  

 

นอกจากนี้ หัวเมืองหลัก ในฐานะศูนย์กลางของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคยังสามารถบรรเทาความแออัดและตึงเครียดในกรุงเทพฯ โดยการเป็นทางเลือกสำหรับที่ตั้งในการดำเนินธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเห็นได้ว่าเมืองเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างงานและการกระจายฐานเศรษฐกิจ อีกทั้งยังส่งเสริมการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่สมดุลมากขึ้นทั่วประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักที่ทําให้เมืองต่างๆ ไม่สามารถบรรลุศักยภาพทางเศรษฐกิจของตนได้อย่างเต็มที่คือการพึ่งพารายได้จากส่วนกลางมากเกินไป  หากการปกครองท้องถิ่นมีอํานาจมากขึ้นในการวางผังเมือง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเข้าถึงกลไกทางการเงินระยะยาว (เช่น การออกพันธบัตรเมือง (Municipal Bonds) และ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในระดับจังหวัดและท้องถิ่น) ควบคู่ไปกับการมีเครื่องมือทางการคลังที่เหมาะสม เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง  การเรียกเก็บภาษีเงินได้เพิ่มเติมที่ต้องชำระให้ส่วนท้องถิ่นจากฐานภาษีเงินได้ (Income Tax Piggy Backing) และค่าธรรมเนียมการใช้บริการสาธารณะหรือโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้เมืองเหล่านี้สามารถกําหนดทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ถอดบทเรียนจากเกาหลีใต้ ใช้นวัตกรรมและสตาร์ทอัพ นำการเติบโต

 

เกาหลีใต้ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เคยมีรายต่อหัวใกล้เคียงกับประเทศไทย เมื่อช่วงปี นอกจากนี้ เกาหลีใต้ยังเคยประสบกับวิกฤตการณ์ทางการเงินเช่นเดียวกับไทยหลายครั้ง รวมถึงวิกฤตการเงินเอเชีย 

 

อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้กลับเป็นอีกหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่หลุดออกจากกับดักรายได้ปานกลางได้ หลังจากติดอยู่นานหลาย 10 ปี โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จนี้ของเกาหลีใต้ก็คือการลงทุนด้านนวัตกรรมและการปรับปรุงผลิตภาพ (Productivity)

 

โดยภาคส่วนไอซีทีของเกาหลีใต้คิดเป็นสัดส่วน 11.7% ของ GDP ในปี 2022 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศ OECD โดยมีส่วนสนับสนุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต

 

การใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อเกาหลียังคงเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

 

รัฐบาลเกาหลีได้เปลี่ยนการสนับสนุนนวัตกรรมทางธุรกิจจากบริษัทขนาดใหญ่ไปเป็น SMEs ซึ่งกลายเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการสนับสนุนนวัตกรรมของภาครัฐ โดยในปี 2018 มีการจัดสรรการสนับสนุนนโยบายสาธารณะสำหรับบริษัทขนาดใหญ่เพียง 11% อีก 58% สำหรับ MSMEs และ 31% สำหรับบริษัทระดับ middle market และ 54% ของการสนับสนุนนโยบายได้รับการจัดสรรให้กับบริษัทที่เน้นด้านเทคโนโลยีและผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีศักยภาพ

 

ขนาดตลาด Venture Capital (VC) ของเกาหลีเติบโตขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจนกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปี 2019 การลงทุนของ VC มีมูลค่าเท่ากับ 0.16% ของ GDP ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ในบรรดาประเทศ OECD รองจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

Venture Capital (VC) หรือในภาษาไทยเรียกว่า เงินร่วมลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่ คือ เงินทุนที่นักลงทุนหรือบริษัท VC มอบให้กับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น (Startup) ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่ยังมีความเสี่ยงมาก และมักยังไม่มีผลกำไร

 

พาไทยหลุดจากกับดัก ด้วยการผลักดันนวัตกรรม SMEs และ Startups  

 

ในรายงาน Thailand Economic Monitor ฉบับ February 2025: Unleashing Growth: Innovation, SMEs and Startups ระบุว่า การลงทุนด้านนวัตกรรมมากขึ้นและดีขึ้นจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่สถานะประเทศรายได้สูงภายในปี 2037 ตามที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ เนื่องจากการส่งเสริมนวัตกรรมจะช่วยปรับปรุงผลิตภาพ (Productivity) ของบริษัท ขณะเดียวกันก็ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และลดความเสี่ยงบางประการจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

 

โดยจากประสบการณ์ของประเทศอื่นๆ ที่สามารถกลายเป็นประเทศรายได้สูงได้สำเร็จ พบว่า การเพิ่มนวัตกรรมและผลิตภาพ (Productivity) จะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว

 

สาเหตุที่ผลิตภาพมีความสำคัญ เพราะการเติบโตของผลิตภาพเป็นแรงผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานที่มีค่าตอบแทนสูงขึ้น ขณะที่นวัตกรรมก็สามารถช่วยเพิ่มผลผลิต และท้ายที่สุดคือ เพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

สำหรับประเทศไทยจำเป็นต้องมีปัจจัยเสริมหลายประการเพื่อให้เกิดนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มทักษะแรงงาน การผ่อนคลายกฎระเบียบ และการเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

 

ถอดบทเรียนจาก Samsung จากเกาหลีใต้ 

 

ในการพยายามเพิ่มทักษะแรงงานและยกระดับนวัตกรรม ภาคเอกชนไทยสามารถถอดบทเรียนจาก Samsung SW Academy for Youth (SSAFY) ซึ่งเป็นภาคเอกชนที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะในเกาหลีใต้ได้

 

โดย Samsung SW Academy for Youth (SSAFY) ซึ่งเปิดตัวในปี 2018 โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรของ Samsung Group โดยมุ่งหวังที่จะให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นเยาว์มีทักษะที่พร้อมสำหรับการทำงาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการหางานให้กับพวกเขา

 

โดยสถาบันจะคัดเลือกนักศึกษา 2 กลุ่มในแต่ละปี และจัดการฝึกอบรมที่วิทยาเขต 5 แห่งในเกาหลี ตลอดระยะเวลา 1 ปี ผู้เข้าร่วมจะได้รับการฝึกอบรมเข้มข้น 1,600 ชั่วโมง รวมถึงเซสชันรายวันและโครงการความร่วมมือระหว่างนักศึกษา การฝึกอบรมนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย และนักศึกษาแต่ละคนจะได้รับเงินเดือน 1 ล้านวอนเกาหลีใต้

 

จนถึงปัจจุบัน SSAFY ได้จัดโอกาสการฝึกอบรมให้กับเยาวชนประมาณ 11,000 คน จากผู้สำเร็จการศึกษา 8,000 คนจากกลุ่ม 10 กลุ่มแรก ประมาณ 84% ได้งานทำในบริษัท 1,700 แห่ง รวมถึง Samsung Electronics, Coupang, LG Uplus, Hyundai Mobis และสตาร์ทอัพต่างๆ

 

SSAFY ยังได้ร่วมมือกับบริษัทอื่นๆ เพื่อฝึกอบรมนักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นเยาว์ในภาคส่วนเฉพาะ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนทักษะด้านซอฟต์แวร์ ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ปี 2023 ธนาคารใหญ่ทั้งห้าแห่งของเกาหลี (Shinhan, KB Kookmin, Hana, Woori และ NH NongHyup) ได้ให้คำมั่นว่าจะมอบเงินรวม 5 พันล้านวอนให้กับ SSAFY เพื่อร่วมมือกันพัฒนาทักษะซอฟต์แวร์ด้านฟินเทค

 

การผงาดขึ้นของเศรษฐกิจเกาหลีใต้จนหลุดออกจากกับดักรายได้ปานกลางหลังจากติดอยู่นานหลาย 10 ปี นับเป็นหนึ่งตัวอย่างที่อาจเป็นบทเรียนให้กับประเทศไทยได้ ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญก็นำโดยการพัฒนาของ Samsung บริษัทเทรดดิ้งที่มีจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก 

 

ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นเพราะการวางนโยบายของรัฐบาลอย่างมีกลยุทธ์ ด้วยการส่งเสริมธุรกิจใหม่ พร้อมกันกับการสนับสนุนให้ธุรกิจเก่าปรับตัวก่อนจะถูกบีบให้ต้องเลิกกิจการไปอย่างน่าเสียดาย 

 

หากจะถอดบทเรียนจากเกาหลีเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย เราจำเป็นต้องปรับระบบการศึกษาและการฝึกแรงงาน โดยหลักสูตรควรเน้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) รวมทั้งผ่อนปรนข้อจำกัดบางอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ หรือ ‘คนเก่ง’ จากต่างประเทศให้ลดลง เพื่อที่จะเรียนรู้จากมันสมองของจากหลากหลายที่ทั่วโลกและรักษาบุคลากรของประเทศไว้

 

กฎระเบียบก็ต้องพัฒนาเช่นกัน โดยกฎระเบียบที่ซับซ้อนมักเป็นหนึ่งตัวปิดกั้นให้ธุรกิจขนาดเล็กโตได้ยาก ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องปฏิรูปนโยบายภาษีสำหรับ SME เพื่อสนับสนุนการขยายตัว โดยการบังคับใช้กฎหมายที่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรีและเท่าเทียมอย่างเข้มงวดจะเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจไทยสามารถพัฒนานวัตกรรมและแข่งขันในระดับสากลได้มากขึ้น

 

นอกจากนี้ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญ เพราะแม้ว่าประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานการเงินที่แข็งแกร่ง แต่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) รวมทั้งสตาร์ทอัพมักจะเจอกับ ‘ข้อจำกัด’ หลายอย่างที่ทำให้การเข้าถึงเงินทุนที่ต้องการเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจ ทำให้ผู้ประกอบการหลายคนสู้ต่อไม่ไหวและต้องยอมถอย

 

ธนาคารโลกจึงเสนอ 3 แนวทางสำหรับภาครัฐและเอกชนเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

 

  1. จัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนสาธารณะเพื่อร่วมลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง
  2. สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนอิสระที่สนใจสนับสนุนสตาร์ทอัพ (Angel Investors)
  3. ลดข้อกำหนดด้านหลักประกัน เสนอบริการค้ำประกันบางส่วนสำหรับเงินกู้ที่มุ่งเน้นนวัตกรรม

 

และอีกสิ่งสำคัญที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่ไทยและโลกกำลังเจอก็คือการมุ่งสร้างนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Technology) เพราะเมื่อเศรษฐกิจโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืน อุตสาหกรรมเช่นพลังงานสะอาด หรือการเกษตรที่ยั่งยืน คือวาระจำเป็น

 

ดังนั้น ถ้าประเทศไทยจะยังต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ World Bank มีความเห็นว่าประเทศจะต้องทำให้นวัตกรรมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเดินหน้าไปกับธุรกิจที่เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ เช่น การส่งออก การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การออกพันธบัตรสีเขียวเพื่อส่งเสริมธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เพื่อเพิ่มความพร้อมของประเทศไทยในยุค ‘Green Economy’

 

ระบบนวัตกรรมไทย: ถึงเวลาปลดล็อก

 

ในโลกที่การแข่งขันด้านนวัตกรรมทวีความรุนแรง ประเทศกำลังพัฒนาต่างเผชิญความท้าทายใหญ่ ตั้งแต่การขาดแรงงานทักษะสูง ช่องว่างในตลาด ไปจนถึงระบบสนับสนุนที่ยังไม่สมบูรณ์ หากภาครัฐยังมีขีดความสามารถจำกัด การก้าวข้ามกับดักนี้จะยิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างจากเกาหลีใต้แสดงให้เห็นว่า การวางรากฐานเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลดหย่อนภาษี R&D การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจ-สถาบันวิจัย และการรักษาเสถียรภาพนโยบายในระยะยาว เป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดัน Samsung จากบริษัทเทรดดิ้งเล็กๆ สู่ยักษ์เทคโนโลยีระดับโลกภายในไม่กี่ทศวรรษ ในทางกลับกัน อินโดนีเซียเตือนให้เห็นว่า การออกแบบมาตรการที่ขาดเป้าหมายชัดเจนหรือมีขั้นตอนยุ่งยาก เช่น นโยบาย Super-Deduction ที่ไม่กระตุ้นการลงทุนจริง อาจทำให้โอกาสพัฒนาเสียเปล่า

 

สำหรับประเทศไทย แม้จะมีการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมคิดเป็นประมาณ 1% ของ GDP แต่ระบบนวัตกรรมยังเผชิญความท้าทายด้านประสิทธิภาพและการเชื่อมโยง ความพยายามในการปรับระบบยังคงเน้นด้านอุปทานมากกว่าความต้องการในตลาด และยังขาดกลไกเชิงระบบที่สามารถระบุปัญหาและออกแบบมาตรการสนับสนุนที่ตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ

 

ธนาคารโลกมีความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการทบทวนความมีประสิทธิผลของนโยบายด้านนวัตกรรม (Innovation Policy Effectiveness Review) เพื่อช่วยให้ประเทศสามารถกำหนดเป้าหมายนโยบายได้ชัดเจนขึ้น ระบุความท้าทายเชิงโครงสร้างได้ตรงจุด และออกแบบเครื่องมือสนับสนุน (Innovation Instruments) ที่สามารถนำไปสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์และขับเคลื่อนผลิตภาพได้จริง

 

การเร่งสร้างระบบนวัตกรรมที่แข็งแรงและขับเคลื่อนด้วยดีมานด์ (demand-driven) จึงเป็นภารกิจที่ต้องทำทันที นโยบายต้องไม่หยุดอยู่แค่การสนับสนุนงานวิจัย แต่ต้องเน้นการเชื่อมโยงตลาดกับนวัตกรรมจริง เช่น ใช้เครื่องมืออย่างการจัดซื้อจัดจ้างนวัตกรรม (Innovation Procurement), แรงจูงใจทางภาษี R&D, และการส่งเสริมแพลตฟอร์ม Open Innovation เพื่อเปิดทางให้นวัตกรรมสามารถเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการนำเทคโนโลยีมาใช้จริง เช่น ศูนย์เทคโนโลยี (Technology Centers) อุทยานวิทยาศาสตร์ (Science Parks) และบริการถ่ายทอดเทคโนโลยีสำหรับ SME

 

นอกจากนี้ การสนับสนุนผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้นก็สำคัญไม่แพ้กัน ไทยต้องมี Incubators, Accelerators, กองทุนร่วมลงทุน และการให้คำปรึกษาทางธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่าย เพื่อเปลี่ยนไอเดียใหม่ให้กลายเป็นธุรกิจจริง ขณะที่ด้านกฎหมายและระเบียบ ต้องเร่งปฏิรูปให้ระบบคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IPR) แข็งแรงขึ้น ออกมาตรฐานการทดสอบนวัตกรรม และรักษากติกาตลาดที่เปิดกว้างและแข่งขันได้อย่างเสรี พร้อมกันนี้ ต้องสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน ด้วยเครือข่ายคลัสเตอร์นวัตกรรมและโครงการวิจัยร่วม

 

ในสนามนวัตกรรมโลก ผู้ที่กล้าวางเกมยาว และออกแบบนโยบายอย่างยืดหยุ่น แข็งแรง และสอดรับกับการเปลี่ยนแปลง คือผู้ที่จะอยู่รอดและเติบโต ไทยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเร่งปลดล็อกระบบนวัตกรรมให้ทันยุค เพราะในโลกของนวัตกรรม ผู้ที่ช้า คือผู้ที่แพ้

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising


OSZAR »